บทความ

รวมเทคนิคการจำศัพท์อย่างไรให้ไม่ลืมใช้งานได้ตลอด

รวมเทคนิคการจำศัพท์อย่างไรให้ไม่ลืมใช้งานได้ตลอด ทุกวันนี้ ไม่ว่าใครก็คงจะกำลังมองหาเทคนิคหรือเคล็ดลับดี ๆ ในการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้ในการสอบในชั้นเรียน นำไปใช้สนทนาในชีวิตประจำวัน หรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ ซึ่งการจำศัพท์เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยประสบมาก่อนกับการเรียนภาษาอังกฤษ ในวันนี้ เราจะมาแนะนำ 9 เทคนิคในการจำคำศัพท์ให้กับเพื่อน ๆ เพื่อนำไปปรับใช้ เพื่อให้สามารถจำคำศัพท์ได้อย่างรวดเร็ว และจำได้นาน ไปดูกันเลย! 9 เคล็ด(ไม่)ลับ วิธีการจำศัพท์ให้ได้ผลจริง! นำไปใช้งานในชีวิตประจำวันหนึ่งในวิธีที่จะทำให้เรามีความเชี่ยวชาญทางภาษามากขึ้น นั่นก็คือการนำไปใช้จริง เพราะเราจะสามารถจดจำหลักในการใช้งาน ร่างกายจะเกิดการเรียนรู้และจดจำ เพื่อนำไปใช้ได้ดีขึ้น เราอาจใช้การจำศัพท์โดยนำมาใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เราได้พบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น การจำคำศัพท์ที่มีในสถานที่ที่เราอยู่ทุกวัน เป็นต้น ฟัง พูด อ่าน เขียน ต้องครบ นอกจากการจำคำศัพท์ เราควรฝึกทักษะด้านภาษาอย่างการฟัง พูด อ่าน เขียน ให้ครบ เพื่อให้เราสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเชื่อมโยงกัน ซึ่งส่งผลให้การจำศัพท์มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เช่น เราอาจจะฟังเพลงภาษาอังกฤษไปด้วย ร้องไปด้วย และจำศัพท์ต่าง ๆ ที่พบเห็นในแต่ละวันมาเพิ่มเติม   ใช้การจำศัพท์ ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น การจำศัพท์ที่มีความหมายเดียวกัน แต่ใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน เราจะค่อย ๆ เพิ่มคลังคำศัพท์ในหัวได้ดีมากยิ่งขึ้น เช่น คำว่า end และ finish ที่มีความหมายคล้ายกันว่า จบ เสร็จสิ้น คล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกัน  รากศัพท์นั้นมีความสำคัญ ในการจำศัพท์บางคำ การจดจำจากรากศัพท์จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจความหมายของคำนั้นได้ดีและลึกซึ้งมากขึ้น เช่นคำว่า mono ที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า หนึ่ง ที่เป็นภาษากรีก และคำที่ใช้รากศัพท์นี้เช่น monotone มีความหมายว่า การพูดในเสียงเดิม เสียงเดียวตลอด เป็นต้น การจำศัพท์ ด้วยการจดบันทึก หนึ่งในเทคนิคที่ง่ายและได้ผลจริง นั่นก็คือการจำศัพท์ด้วยการจดบันทึกเป็นประจำ ทำบ่อย ๆ และอาจแปะโพสต์อิทไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับคำ เช่น แปะคำว่า radio ลงบนวิทยุของเรา พอเราเห็นผ่านตาบ่อย ๆ เราก็จะเริ่มจำได้ และคุ้นเคยไปเองตามธรรมชาติ การจำศัพท์ด้วยแฟลชการ์ด อีกหนึ่งวิธีการจำศัพท์ที่ทั้งสนุกและมีประสิทธิภาพ และยังสามารถพกพาไปที่ไหนก็ได้ สะดวก นำออกมาท่องจำตอนไหนก็ได้ นอกจากนี้ ยังอาจนำไปทำเป็นเกมจำศัพท์ที่เล่นกับเพื่อนได้อย่างสนุกสนานด้วย! เล่นเกมที่ช่วยในการจำศัพท์  ถัดจากแฟลชการ์ด เราอาจเพิ่มความสนุกในการเรียนรู้ การจำศัพท์โดยการเล่นเกมฝึกทักษะต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดเกมภาษาอังกฤษ หรือจะเล่นเกมออนไลน์ต่าง ๆ ที่ได้ทั้งศัพท์ภายในเกม และการสนทนาภาษาต่างประเทศกับผู้เล่นคนอื่นด้วย ท่องจำคำศัพท์สม่ำเสมอ สำหรับการจำศัพท์ สิ่งที่มีความสำคัญแทบจะที่สุด นั่นก็คือความตั้งใจในการเรียนรู้ ตั้งใจในการจดจำอย่างเป็นประจำ สม่ำเสมอ เพราะการฝึกฝนเป็นประจำ จะช่วยให้เราสามารถคุ้นเคย และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งความสม่ำเสมอนั้น เราอาจจะแค่จดจำวันละไม่กี่คำศัพท์ ไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ ขอแค่เรามีความตั้งใจและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เราไม่มีวันลืมแน่นอน การจำศัพท์ด้วยภาพ ผ่าน Mind Mapling การใช้มายแมพ จะช่วยให้เราสามารถจดจำคำศัพท์ต่าง ๆ ได้ดี รวมไปถึงยังเข้าใจในความเชื่อมโยงของคำต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย การจดจำด้วยภาพ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้การจดจำทำได้ง่ายมากขึ้น และจัดระเบียบความคิดในรายละเอียดต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้นด้วย ยิ่งจำศัพท์ทุกวัน ยิ่งจำได้นานมากยิ่งขึ้น ก็จบกันไปแล้วกับ 9 เทคนิคในการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เพื่อน ๆ สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ในการจำศัพท์ของเพื่อน ๆ ได้ เราหวังว่า บทความของเราจะทำให้เพื่อน ๆ เข้าใจในหลักของการจำคำศัพท์มากขึ้น และนำไปปรับใช้กับการเรียนรู้อื่น ๆ ได้ต่อไป  

เรียนภาษาอังกฤษช่วงเวลาไหนถึงได้ประสิทธิภาพมากที่สุด

เรียนภาษาอังกฤษช่วงเวลาไหนถึงได้ประสิทธิภาพมากที่สุด คุณพ่อคุณแม่หลายท่าน หรือคนที่กำลังสนใจในการเรียนภาษาอาจจะกำลังสงสัยอยู่ว่า ควรเรียนในช่วงเวลาไหนดี จะเรียนแล้วเข้าใจหรือเปล่า ในวันนี้ เราจะพาทุกคนมาหาคำตอบเรื่องของการเรียนไปพร้อม ๆ กันเลย! ว่าเราควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในช่วงเวลาไหนของวันดี เรียนตอนเช้ากับตอนเย็นแตกต่างกันหรือไม่ เวลาไหนสมองจะมีความปลอดโปร่งพร้อมรับข้อมูลในการเรียนได้ดีที่สุด ไปดูกันเลย!   ช่วงเวลาในการเรียนภาษาอังกฤษเริ่มตอนไหนดี ใน 1 วันมีทั้งหมด 24 ชั่วโมง ซึ่งต้องบอกเลยว่าแต่ละช่วงเวลานั้น จะมีช่วงเวลาที่เหมาะแก่การ เรียนภาษาอังกฤษ อยู่ ในแต่ละช่วงนั้นต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไปที่เหมาะจะเรียนภาษาอังกฤษ และแน่นอนว่าทุกคนสามารถลองหาช่วงเวลาที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดได้ โดยแต่ละช่วงเวลาที่เหมาะเรียนภาษามีรายละเอียดดังต่อไปนี้ เรียนภาษาอังกฤษ ในช่วงเวลาเช้า (ตี 5-10 โมงเช้า) ในช่วงเวลาตี 5 – 10 โมงเช้านี้ สมองจะมีความปลอดโปร่ง และสามารถเรียนรู้หรือรับข้อมูลสิ่งต่าง ๆ ได้เยอะ เพราะสมองได้รับการพักผ่อนมาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ทำให้สมองมีความตื่นตัว เหมาะกับการเรียนรู้ ทบทวนประจำวันก่อนไปเรียนหรือก่อนนำไปใช้งานจริงได้เป็นอย่างดี ซึ่งเหมาะมากที่จะเรียนทุกๆ วิชา แม้แต่ภาษาอังกฤษเองก็เหมาะแบบสุดๆ โดยเฉพาะการจำคำศัพท์ เรียนภาษาอังกฤษ ในช่วงเวลาก่อนเที่ยง (9-11 โมง และ บ่าย 3 โมง) ช่วงเวลานี้ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองของการเรียนรู้เลยก็ว่าได้ ช่วงเวลานี้สมองของเราจะเปิดรับและพร้อมกับการเรียนรู้มากที่สุด สมองจะเริ่มมีการประมวลผลทำงานได้ดี มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์เพิ่มมากขึ้น เหมาะกับการเรียนภาษาอังกฤษในส่วนที่มีความยาก หรือต้องใช้สมองในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น แกรมม่า การวิเคราะห์ประโยค เป็นต้น จะเหมาะกับการอ่าน การเขียนมากที่สุด เรียนภาษาอังกฤษ ในช่วงเวลาบ่าย (13.00 - 16.00 น.) ในช่วงเวลาบ่ายโมงจนถึง 4 โมงเย็น เป็นช่วงเวลาแห่งความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ซึ่งเหมาะกับการเรียนรู้ส่งเสริมผ่านกิจกรรมเรียนรู้ที่มีความสร้างสรรค์ เพราะร่างกายจะต้องการพลังงานเพื่อเผาผลาญร่างกายจากมื้อเที่ยงที่พึ่งผ่านไป แนะนำให้เราเรียนภาษาอังกฤษในช่วงเวลานี้ ด้วยการนำกิจกรรมต่าง ๆ มาสอดแทรก หรือเป็นการเรียนรู้ผ่านความบันเทิงต่าง ๆ เช่น การฟังพอร์ดแคส การฟังภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ หรือการเล่นเกมส์ภาษาอังกฤษ เป็นต้น นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังสนุกไปกับการเรียนอีกด้วย ถือว่าเป็นช่วงพักผ่อนแต่ก็ยังได้ความรู้อีกด้วย เรียนภาษาอังกฤษ ในช่วงเวลาเย็น (19.00 - 20.00 น.) ช่วงเวลานี้ เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่แนะนำในการทบทวนหรือเรียนภาษาอังกฤษ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาพักผ่อนที่มีความเงียบสงบ ช่วยให้สมองของเราสามารถจดจ่อและมีสมาธิกับการเรียนหรืออ่านหนังสือทบทวนได้ดีมากยิ่งขึ้น เราอาจฝึกฝนในการจำศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือเรียนรู้ภาษาในรูปแบบที่เน้นการจดจำได้เป็นอย่างดี หรือจะทบทวนบทเรียนภาษาอังกฤษที่ได้เรียนวันนี้อีกครั้ง เพื่อสร้างการจดจำที่ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน ช่วงเวลาไหนคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเรียนภาษา จากผลการศึกษาในงานวิจัยจากประเทศทั่วโลกพบว่า ช่วงเวลาในการเรียนรู้ในแต่ละวัน มีช่วงเวลาที่ดีที่สุด ซึ่งเหมาะสมกับการเรียนรู้ต่าง ๆ ของเด็กในช่วงวัย 7-18 ปี มีอยู่ทั้งหมด 2 ช่วง นั่นก็คือ ช่วงเช้า 9.00-11.00 น. และช่วงบ่ายเวลา 15.00-16.00 น. โดยในช่วงเวลาเหล่านี้ เด็ก ๆ จะมีสมาธิในการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ทำให้เหมาะกับการเรียนภาษาอังกฤษหรือเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี สามารถจดจ่อกับการเรียนได้ดี โดยสามารถเลือกเรียนได้ตั้งแต่ ฟัง พูด อ่าน เขียน ตามความต้องการของผู้เรียนเลย อยากเรียนภาษาอังกฤษให้เลือกช่วงเวลาที่เหมาะกับตัวเอง สำหรับการเรียนภาษาอังกฤษคำถามที่ว่า เราควรเริ่มเรียนเมื่อไหร่ เรียนช่วงไหนดี เราขอแนะนำว่า ให้เราเริ่มต้นโดยการเลือกช่วงเวลาว่างที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเรา เพื่อใช้เวลาในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ หรือเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เพียงเท่านี้การเรียนภาษาของเราก็จะมีประสิทธิภาพ ใช้งานได้จริง ตรงกับเวลาชีวิตของเราโดยไม่เกิดความลำบาก เรียนไว้ก่อน รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน เพราะภาษาอังกฤษจะสามารถสร้างอนาคตที่ดีให้กับเราได้อย่างแน่นอน  

ครูต่างชาติ ทำเอกสาร Non-B Workpermit คืออะไร

ครูต่างชาติ ทำเอกสาร Non-B Workpermit คืออะไร ครูต่างชาติที่ต้องการทำงานในประเทศไทย ต้องทำเตรียมอะไรบ้าง พาไปทำความรู้จัก เอกสาร Non-B Workpermit หรือวีซ่าประเภทธุรกิจคืออะไร พร้อมบอกขั้นตอนการขอใบอนุญาตให้แบบครบถ้วน ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ไม่ว่าจะมาสอนแบบประจำโรงเรียน หรือกวดวิชาจำเป็นที่จะต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้ดี เพื่อไม่ให้เป็นการเสียไปเวลาไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมกันเลยดีกว่า   มาทำความรู้จัก เอกสาร Non-B Workpermit คืออะไร เอกสาร Non-B Workpermit หรือ วีซ่าประเภทธุรกิจ คือ ใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยสำหรับชาวต่างชาติ ต้องทำการยื่นประทับตราวีซ่าก่อนขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย เป็นเสมือนใบเบิกทางในการจ้างครูต่างชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีขั้นตอนและรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ขั้นตอนการขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่าธุรกิจ 1. ชาวต่างชาติต้องยื่นขอวีซ่าธุรกิจ หรือ Visa Non-B ที่มีอายุภายใน 90 วัน จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย หรือจากสถานกงสุลไทย ณ ประเทศนั้น ๆ ก่อน 2. เมื่อได้รับ Visa ให้ดำเนินการขอใบอนุญาตทำงาน อายุ 1 ปี ได้ที่กรมการจัดหางาน กำหนดระยะเวลาให้ไม่เกิน 30 วัน 3. หากได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว ให้ทำการต่ออายุวีซ่าธุรกิจ หรือ เอกสาร Non-B Workpermit อายุ 1 ปี ได้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ภายในระยะเวลา 30 วัน  อายุใบอนุญาตทำงานและวีซ่าธุรกิจกี่ปี ? สำหรับอายุใบอนุญาตทำงานและวีซ่าธุรกิจนั้น ระยะเวลาที่อนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย ได้แก่ 3 เดือน / 6 เดือน / 1 ปี และนานสุดอยู่ที่ 2 ปี ขึ้นอยู่กับการพิจารณาสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือของกรมการจัดหางาน ซึ่งจะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความจำเป็น ประเภทของงาน เป็นต้น   การทำใบอนุญาตทำงานและวีซ่าธุรกิจมีค่าใช้จ่ายเท่าไร? และต้องรอผลการอนุมัติกี่วัน? - ค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับค่าธรรมเนียมของประเภทที่ใช้บริการ ซึ่งจะมีราคาแตกต่างกันออกไป - หากมีข้อมูลและเอกสาร เอกสาร Non-B Workpermit ครบถ้วน ระยะเวลาในการรอผลการอนุมัติทำงาน ใช้เวลา 1 เดือน ส่วนวีซ่าธุรกิจ ใช้เวลาเพียง 3-7 วันเท่านั้น   นอกจากการทำใบอนุญาตทำงานและวีซ่าธุรกิจแล้ว กรณีอื่นสามารถทำได้หรือไม่? - สามารถทำใบอนุญาตทำงานหมดอายุ เป็นกรณีของผู้ที่ใบอนุญาตทำงานและวีซ่าธุรกิจใกล้จะหมดอายุ ต้องรีบไปต่ออายุภายใน 45 วัน ถ้าใบอนุญาตหมดอายุแล้ว หรือต่อไม่ทันตามเวลาที่กำหนด ผู้นั้นจะต้องทำการขออนุญาตทำงานใหม่ตามขั้นตอนเดิมทั้งหมด - หากมีวีซ่าประเภทอื่น แต่ต้องการเปลี่ยนเป็นวีซ่าธุรกิจเพื่อทำงานในไทย สามารถทำตามขั้นตอนการขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่าธุรกิจได้ - ถ้าพบว่าใบอนุญาตทำงานชำรุด หรือสูญหาย ให้รีบทำการยื่นขอรับใบแทนใบอนุญาตทำงานได้ภายใน 15 วัน ที่กรมการจัดหางาน ซึ่งจะได้รับภายใน 7 วัน - ถ้าต้องการเปลี่ยนข้อมูล หรือเพิ่มสถานที่ทำงาน ประเภทงาน ให้ทำการยื่นขอแก้ไขได้ที่กรมการจัดหางาน ซึ่งจะได้รับภายใน 3-7 วัน   เอกสาร Non-B Workpermit คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับครูต่างชาติ ขั้นตอนการทำใบอนุญาตทำงานและวีซ่าธุรกิจ หรือ เอกสาร Non-B Workpermit ในประเทศไทยไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด เพียงแค่เตรียมข้อมูลหรือเอกสารต่าง ๆ ให้ละเอียดครบถ้วน ก็สามารถเข้าทำงานในประเทศไทยได้อย่างสบายใจ ใครที่อยากจะหาครูต่างชาติมาช่วยสอนหนังสือสามารถทำตามกันได้เลย  

แนะนำหนังที่เหมาะฝึกภาษาอังกฤษ

แนะนำหนังที่เหมาะฝึกภาษาอังกฤษ อยากเก่งภาษาอังกฤษ แต่ไม่อยากซื้อคอร์สเรียนภาษาแพง ๆ ขอแนะนำหนังที่เหมาะฝึกภาษาอังกฤษ คำศัพท์เข้าใจง่าย สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง การฝึกภาษาอังกฤษผ่านการดูหนัง ช่วยพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษได้ เพราะนักแสดงหรือตัวละครมีบทพูดพร้อมแสดงท่าทางประกอบที่สมจริง ยิ่งทำให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น มาดูกัน หนังที่เหมาะฝึกภาษาอังกฤษ มีอะไรบ้าง มาสนุกกับ หนังที่เหมาะฝึกภาษาอังกฤษ ที่เหมาะแก่การฝึกฝนให้ชำนาญหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการฟัง การพูด การอ่าน ได้อย่างครบรส ครบเครื่อง ที่ต้องบอกเลยว่าใครที่ไม่รู้จะดูเลือกอะไร สามารถหาแนวที่ชอบจากการแนะนำต่อไปนี้ได้เลย 1. Charlie and the Chocolate Factory หนังที่เหมาะฝึกภาษาอังกฤษ  ที่อยากแนะนำเป็นเรื่องแรกเป็นหนังครอบครัวที่เหมาะกับการฝึกภาษาอังกฤษจากเพลงสนุก ๆ เน้นคำศัพท์ง่าย ๆ ที่เด็กสามารถเรียนรู้ได้ เป็นหนังแนวแฟนตาซี ความยาวหนังอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 55 นาที เนื้อเรื่องก็เป็นเกี่ยวกับโรงงานทำช็อกโกแลตที่เด็กๆ ทั้งหลายได้ไปผจญภัยในนั้น ที่เกิดจากการที่เจ้าของโรงงานส่งแท่งช็อกโกแลตให้แก่ผู้โชคดี ที่สามารถเข้ามาให้เด็กๆ เข้ามาได้เพียง 5 คนเท่านั้น 2. Breakfast at Tiffany’s ฝึกภาษาอังกฤษสบาย ๆ แบบย้อนยุค ด้วยหนังแนวโรแมนติก-คอเมดี้จากเรื่อง Breakfast at Tiffany’s ที่นำเสนอภาษาแนวการใช้ชีวิตสุดกินใจที่เกิดขึ้นในนครนิวยอร์กยุค 60 โดยหนังจะมีความยาวอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 55 นาที เป็นเรื่องราวของนางเอกที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความร่ำรวยในแมนฮัตตัน ซึ่งในสมัยนั้นให้ค่ากับแก้วแหวนเงินทองเป็นอย่างมาก และนางเอกก็ต้องการหาคู่ที่จะแต่งงานเพื่อความมั่งคั่งอีกด้วย   3. Notting Hill อีก หนังที่เหมาะฝึกภาษาอังกฤษ  แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ขยี้หัวใจ ปี1999 ที่เหมาะกับการดูเพื่อฝึกภาษาและคลายเครียด ความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้อยู่ที่สำเนียงการพูดของนักแสดงที่ accent เป๊ะมาก มีการปะทะกันระหว่างสำเนียงภาษาอังกฤษและอเมริกัน ใครดูก็รู้สึกว้าวไปตาม ๆ กัน ดูหนังได้ยาว ๆ ถึง 2 ชั่วโมง 4 นาที โดยเรื่องราวก็เป็นเกี่ยวกับดาราสาวที่โด่งดังได้มาตกหลุมหนังธรรมดา และได้ลงเอยกันอย่างมีความสุข 4. Toy Story มาต่อกันที่ภาพยนตร์การ์ตูนสนุก ๆ ได้รับความนิยมตลอดกาลอย่าง Toy Story หนังแนวครอบครัว-คอมเมดี้ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยแน่นอนว่ามีอะไรให้ลุ้นอยู่ตลอด ความยาวหนัง 1 ชั่วโมง 21 นาที ผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเปิดดู ตัวหนังเน้นการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน ดูจบแล้วนำไปใช้ได้เลย 5. The Social Network ปิดท้ายกันที่หนังแนวดราม่า เรียกน้ำตากับเรื่อง The Social Network ที่ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติ การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยและการใช้ภาษาเมื่ออยู่ในชั้นศาล โดยความยาวของหนังจะอยู่ที่ 2 ชั่วโมง 1 นาที หนังที่เหมาะฝึกที่สุดคือเลือกตามที่ตัวเองชอบ ภาษาอังกฤษไม่ยากอีกต่อไป เพียงดู หนังที่เหมาะฝึกภาษาอังกฤษ  แนะนำข้างต้น จะเห็นได้ว่า มีให้เลือกหลากหลายแนวด้วยกัน สามารถเลือกดูได้ตามใจชอบเลย แต่ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ควรหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ